โดยถนนสายนี้เป็นหนึ่งในถนนซอย 6 สายที่ตัดจากริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อเชื่อมต่อกับถนนหลัก 4 สายแรก มีแนวเส้นทางเริ่มตั้งแต่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านเหนือของกำแพงพระราชวังเดิม ไปผ่านถนนสายที่ 2 (ปัจจุบันคือถนนอรุณอมรินทร์) ไปออกถนนสายที่ 3 (ปัจจุบันคือถนนอิสรภาพ) กว้าง 16 เมตร ยาวประมาณ 830 เมตร ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อตัดและขยายถนนฝั่งจังหวัดธนบุรีและจังหวัดพระนคร พ.ศ. 2473 ถนนสายที่ 6 เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2474[2] สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงตั้งชื่อถนนถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ถนนวังเดิม เพื่อรักษาชื่อพระราชวังครั้งกรุงธนบุรีไว้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อถนนสายนี้ตามที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเสนอ อย่างไรก็ตาม แนวโครงการถนนสายที่ 6 ช่วงที่ผ่านกำแพงพระราชวังเดิมนั้นอยู่ในเขตกองทัพเรือ แนวถนนวังเดิมที่เป็นทางสาธารณะจึงสิ้นสุดอยู่ที่ปลายถนนอรุณอมรินทร์ตรงหัวมุมหน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ ภายหลังทางราชการได้ตัดถนนอรุณอมรินทร์สายใหม่จากใต้วัดเครือวัลย์วรวิหารไปออกถนนประชาธิปก ทำให้ถนนอรุณอมรินทร์สายเก่า (ช่วงที่ผ่านวัดอรุณราชวราราม) ซึ่งมีเขตทางแคบ ๆ กลายเป็นแนวต่อเนื่องกับถนนวังเดิมไป จากนั้นในปี พ.ศ. 2547 กรุงเทพมหานครก็ได้อนุมัติให้สำนักงานเขตบางกอกใหญ่รวมถนนอรุณอมรินทร์สายเก่าเข้าเป็นระยะทางส่วนหนึ่งของถนนวังเดิม ถนนอรุณอมรินทร์ [อะ-รุน-อำ-มะ-ริน] (อักษรโรมัน: Thanon Arun Ammarin) เป็นถนนสายสำคัญสายหนึ่งในฝั่งธนบุรี กรุงเทพมหานคร ประวัติ ถนนอรุณอมรินทร์เป็น "ถนนสายที่ 2" ในโครงการตัดและขยายถนน 11 สายในจังหวัดธนบุรีและจังหวัดพระนคร ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการก่อสร้างสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพระพุทธยอดฟ้า) เมื่อปี พ.ศ. 2472 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยกำหนดแนวเส้นทางไว้ตั้งแต่วัดอมรินทราราม มาทางถนนบ้านขมิ้น ข้ามคลองบางกอกใหญ่ ผ่านถนนสายที่ 1 (ปัจจุบันคือถนนประชาธิปก) แล้วตรงไปตามแนวถนนคลองสานซึ่งมีอยู่แล้ว ไปบรรจบกับถนนสายที่ 4 (ปัจจุบันคือถนนลาดหญ้า) ที่ปากคลองสาน ยาวประมาณ 4,900 เมตร กว้าง 23 เมตร ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อตัดและขยายถนนฝั่งจังหวัดธนบุรีและจังหวัดพระนคร ถนนสายที่ 2 สร้างและขยายใหม่ตามแนวถนนที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้สร้างไว้ รวมทั้งยังเป็นที่ตั้งจวน (บ้าน) ของสมเด็จเจ้าพระยาถึง 4 ท่านอีกด้วย ได้แก่ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงทรงตั้งชื่อถนนถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า ถนนสมเด็จเจ้าพระยา อย่างไรก็ตาม ถนนสายนี้ตัดสำเร็จเฉพาะส่วนปลาย โดยแยกออกเป็นสองด้านและมีเส้นทางไม่ต่อเนื่องกัน กล่าวคือ ส่วนปลายด้านหนึ่งจากวัดพิชยญาติการามถึงปากคลองสานซึ่งยังคงใช้ชื่อว่าถนนสมเด็จเจ้าพระยามาจนถึงปัจจุบัน และส่วนปลายอีกด้านมีระยะทางเริ่มต้นจากวัดอรุณราชวรารามขึ้นไปจนถึงวัดอมรินทราราม ในเวลาต่อมาทางการจึงเปลี่ยนชื่อถนนส่วนนี้เป็น ถนนอรุณอมรินทร์ ต่อมาจึงมีการตัดถนนอรุณอมรินทร์ขึ้นไปทางเหนือ โดยข้ามคลองบางกอกน้อยบริเวณใกล้วัดอมรินทรารามและอู่เรือหลวง ไปตัดกับถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้าและบรรจบซอยจรัญสนิทวงศ์ 40 (อัศวมิตร) โดยเป็นหนึ่งในโครงการตัดถนนตามพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางยี่ขันและตำบลศิริราช อำเภอบางกอกน้อย จังหวัดธนบุรี พ.ศ. 2509 เพื่อตัดถนนให้รับกับคอสะพานที่จะสร้างข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา (ปัจจุบันคือสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า) และสะพานข้ามคลองบางกอกน้อย (ปัจจุบันคือสะพานอรุณอมรินทร์)
ส่วนถนนตอนกลางที่เชื่อมระหว่างสองส่วนดังกล่าวเพิ่งสร้างสำเร็จตลอดสายเมื่อไม่นานมานี้ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายอรุณอมรินทร์ ตอนแยกถนนวังเดิม-บรรจบถนนประชาธิปก พ.ศ. 2536 โดยแนวถนนบางช่วงเปลี่ยนแปลงไปจากแนวเวนคืนที่ปรากฏในพระราชกฤษฎีกาเมื่อปี พ.ศ. 2473 เนื่องจากผ่านมัสยิดต้นสนและโรงเรียนศึกษานารี ปัจจุบันถนนตัดใหม่สายนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของถนนอรุณอมรินทร์ บางครั้งเรียกว่า "ถนนอรุณอมรินทร์ตัดใหม่" ส่วนถนนอรุณอมรินทร์สายเดิมจากวัดเครือวัลย์วรวิหาร (ผ่านวัดอรุณราชวราราม) ถึงกองทัพเรือนั้น กลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนวังเดิม ในปี พ.ศ. 2541 ทางราชการได้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงเทศบาลสายเชื่อมระหว่างถนนวิสุทธิกษัตริย์กับถนนอรุณอมรินทร์ เพื่อสร้างความสะดวกรวดเร็วแก่การจราจรขนส่ง เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ถนนอรุณอมรินทร์ตอนเหนือจึงมีระยะทางเพิ่มขึ้นอีก โดยต่อจากถนนเดิมที่บรรจบกับซอยจรัญสนิทวงศ์ 40 (ปัจจุบันคือซอยอรุณอมรินทร์ 30 และซอยอรุณอมรินทร์ 49) แล้วโค้งไปทางทิศตะวันออก ซ้อนกับแนวซอยจรัญสนิทวงศ์ 40 ก่อนจะตรงไปรับกับตัวสะพานพระราม 8 ถนนอรุณอมรินทร์มีเส้นทางเริ่มต้นจากถนนประชาธิปกใกล้กับโรงเรียนศึกษานารีและวงเวียนเล็กเดิม ในพื้นที่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี ไปทางทิศตะวันตกและวกไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ข้ามสะพานอนุทินสวัสดิ์ (คลองบางกอกใหญ่) เข้าพื้นที่แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ ตัดกับถนนวังเดิมที่ทางแยกวังเดิม ข้ามคลองมอญเข้าพื้นที่แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย จากนั้นเลียบคลองบ้านขมิ้นไปและตัดกับซอยอิสรภาพ 44 ที่ทางแยกบ้านขมิ้น และเริ่มตรงขึ้นไปทางทิศเหนือ ตัดกับถนนวังหลังที่ทางแยกศิริราช ข้ามสะพานอรุณอมรินทร์ (คลองบางกอกน้อย) เข้าพื้นที่แขวงอรุณอมรินทร์ โค้งไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตัดกับถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้าที่ทางแยกอรุณอมรินทร์ เข้าพื้นที่แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แล้วเลียบใต้ถนนคู่ขนานลอยฟ้าพระบรมราชชนนี ข้ามสะพานบางยี่ขัน (คลองบางยี่ขัน) แล้วโค้งไปทางทิศตะวันออกเมื่อผ่านวัดอมรคีรี ไปสิ้นสุดที่สะพานพระราม 8 สถาบันวิมุตตยาลัย โรงเรียนศึกษานารี วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม วัดเครือวัลย์วรวิหาร กรมอู่ทหารเรือ ราชนาวิกสภา หอประชุมกองทัพเรือ วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร โรงพยาบาลศิริราช วัดอมรินทราราม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (ท่าพระ-บางซื่อ-หัวลำโพง-หลักสอง-พุทธมณฑล สาย 4) (อังกฤษ: Metropolitan Rapid Transit Chaleom Ratchamongkon Line) หรือ รถไฟฟ้ามหานคร สายสีน้ำเงิน (อังกฤษ: MRT Blue Line) ซึ่งเรียกตามสีที่กำหนดในแผนแม่บทโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประชาชนนิยมเรียกว่า "รถไฟฟ้าใต้ดิน" เนื่องมาจากช่วงเริ่มแรกให้บริการรถไฟฟ้าเส้นนี้ เส้นทางเป็นระบบใต้ดินแห่งแรกของประเทศไทย ดำเนินการโดย บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) โดยได้รับสัมปทานจาก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 2539 และหลังจากที่เกิดความล่าช้าขึ้นหลายครั้ง ในที่สุดได้เปิดให้สาธารณชนทดลองใช้งานในวงจำกัดเมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2547 และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 กรกฎาคม ปีเดียวกัน โดยในระยะแรก เส้นทางช่วง หัวลำโพง-ศูนย์ฯ สิริกิติ์-บางซื่อ จะเป็นเส้นทางยกระดับเกือบทั้งหมดโดยรัฐเป็นผู้ลงทุน แต่ภายหลังใหัเอกชนลงทุนและเปลี่ยนเป็นใต้ดินทั้งหมด โดยรัฐบาลมีมติเมื่อ 12 กันยายน 2538 ให้ก่อสร้างใต้ดิน รัฐเป็นผู้ลงทุนโยธา ส่วนเอกชนเป็นผู้ดำเนินระบบรถไฟฟ้าและกิจการ